Premium Content | Self-paced E-Learning
<< กลับไปยังห้องสมุด Project Artifacts

Earned Value Method

Earn Value Method (EVM) เป็นกระบวนการที่เราใช้ในการวิเคราะห์ความก้าวหน้าและสมรรถนะ (Performance) ของโปรเจ็คเรา โดยเป็นวิธีการที่ผสมผสานข้อมูลจากหลายส่วนเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ขอบเขตโครงการ (Project Scope) ตารางเวลา (Schedule) และทรัพยากร (Resources)

การคำนวณ EVM อาจดูซับซ้อนแต่ความจริงแล้วอาศัยการใช้ข้อมูลตั้งต้นเพียงไม่กี่ตัวมาคำนวณตามสูตร ซึ่งจะทำให้เราเห็นถึงภาพรวมความก้าวหน้าของโปรเจ็คเราได้ รวมถึงช่วยให้เราสามารถมีหลักการในการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น ณ จุดสิ้นสุดโปรเจ็คได้ด้วย

ดาวโหลด Template

เราจะทำ Earned Value Method ตอนไหนบ้าง?

ไม่จำเป็นที่ทุกโปรเจ็คจะต้องทำ Earned Value Method (EVM) ถ้าเป็นโปรเจ็คที่ไม่ได้ซับซ้อนมาก เราแค่ติดตามความก้าวหน้าของแต่ละกิจกรรมก็พอแล้ว แต่ถ้าโปรเจ็คเรามีจำนวนกิจกรรมมาก มีคนทำหลายคน เวลาอัพเดทความก้าวหน้าเราจะพบว่ามีบางกิจกรรมที่เร็วกว่ากำหนด บางกิจกรรมที่ช้ากว่าที่กำหนด ถ้าเราต้องการที่จะสรุปภาพรวม ณ ปัจจุบันว่าโปรเจ็คของเราสถานะเป็นอย่างไร เราอาจจะต้องใช้ EVM มาช่วยในการวิเคราะห์

การคำนวณ EVM จะทำในช่วงการติดตามและควบคุม (Monitoring & Controlling) ส่วนผลที่ได้จาก EVM สามารถนำไปใช้ในการปรับแผนงาน (Replan) ในช่วงการวางแผนได้ (Planning)

ช่วงเวลาในโครงการที่เราจะสร้างและใช้งาน Earned Value Method (EVM)

เราจะวิเคราะห์ Earned Value Method ได้ยังไง?

การวิเคราะห์ EVM นั้นให้เราใช้ Earned Value Method (EVM) Calculation Sheet Template ของ KonneXXi ร่วมกับ Gantt's Chart (อ่านเรื่อง Gantt's Chart เพิ่มเติม)

ตัวอย่างของการวิเคราะห์ Earned Value Method (EVM)

1 Updated on (วันที่วิเคราะห์): วันที่ที่เราวิเคราะห์ EVM มีความสำคัญมาก เราจึงต้องลงวันที่ที่เราติดตามสถานะความก้าวหน้าของโปรเจ็คนี้ไว้ในช่องนี้ก่อนเลยตั้งแต่ต้น ข้อมูลสถานะของสิ่งต่าง ๆ ที่เหลือที่จะตามมาในเอกสารนี้เป็นสถานะของเฉพาะวันที่ที่ระบุตรงนี้เท่านั้น

2 Budget (งบประมาณ): ให้เขียนงบประมาณของแต่ละกิจกรรมไว้ตรงช่องนี้ (ดึงใช้วิธีข้อมูลจาก Gantt Chart ของเรามาได้ตามบรรทัดเลย)

3 %Planned (%ความก้าวหน้าตามแผน): ใ่นช่องนี้ให้เราใส่ % ความก้าวหน้าของของแต่ละกิจกรรมไว้ในช่องนี้ ให้ตั้งคำถามว่า "ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ณ วันนี้เราควรจะได้ความก้าวหน้าในแต่ละกิจกรรมเท่าไหร่"

4 PV - Planned Value (มูลค่างานที่เกิดขึ้นตามแผน): คำนวณค่า Planned Value หรือ PV โดยใช้สูตรการคำนวณนี้

PV = %Planned x Budget

โดย ค่า %Planned ให้เราเอามาจากช่องที่ 3 ส่วนค่า Budget ให้นำมาจากช่องที่ 2

5 %Actual (%ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นจริง): ในช่องนี้ให้เราใส่ความก้าวหน้าของแต่ละกิจกรรมที่เกิดขึ้นจริง ณ วันนี้เป็น % ถ้ายังไม่ได้เริ่มทำเลยให้ใส่ค่าเป็น 0% ส่วนถ้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้วให้ใส่เป็น 100% ในการประเมินความก้าวหน้านี้ให้เราใช้การสอบถามจากทีมงานที่รับผิดชอบในกิจกรรมแต่ละตัวว่าเขาคิดว่ากิจกรรมที่เขารับผิดชอบมีความก้าวหน้าไปกี่ % แล้ว

6 EV - Earned Value (มูลค่างานที่สร้างขึ้นมาแล้ว): คำนวณค่า Earned Value หรือ EV โดยใช้สูตรการคำนวณ

EV = %Actual x Budget

โดย ค่า %Actual ให้เราเอามาจากช่องที่ 5 ส่วนค่า Budget ให้นำมาจากช่องที่ 2

7 AC - Actual Cost (ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง): ในช่องนี้ ให้เราบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ณ วันนี้ในแต่ละกิจกรรมเป็นหน่วยเงิน ซึ่งเราสามารถสอบถามจากทีมงานที่รับผิดชอบกิจกรรมนั้น หรืออาจขอข้อมูลจากฝ่ายการเงิน/บัญชีได้

8 Timeframe (ตารางเวลา): ในส่วนนี้จะประกอบไปด้วยการคำนวณค่าตัวแปรที่บอกถึงสถานะความก้าวหน้าตามกรอบเวลา โดยจะมีตัวแปรที่เราคำนวณมี 2 ตัว ประกอบด้วย

8.1 SV - Schedule Variance (ความเบี่ยงเบนเชิงเวลา): เราสามารถคำนวณ Schedule Variance หรือ SV ได้จากสูตร

SV = EV - PV

โดย ค่า EV ให้เรานำมาจากช่องที่ 6 ส่วนค่า PV ให้เรานำมาจากช่องที่ 4

การตีความ: ถ้าค่า SV ออกแมาเป็นลบแสดงว่าเราล่าช้ากว่าแผน แต่ถ้าค่า SV ออกมาเป็นบวกแสดงว่าเราทำงานได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้

8.2 SPI - Schedule Performance Index (ดัชนีสมรรถนะเชิงเวลา): เราสามารถคำนวณ Schedule Performance Index หรือ SPI ได้จากสูตรการคำนวณต่อไปนี้

SPI = EV/PV

โดย ค่า EV ให้เรานำมาจากช่องที่ 6 ส่วนค่า PV ให้เรานำมาจากช่องที่ 4

การตีความ: ถ้าค่า SPI ออกมาน้อยกว่า 1 แสดงว่าเราล่าช้ากว่าแผน แต่ถ้าค่า SPI ออกมามากกว่า 1 แสดงว่าเราทำงานได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้

9 Budget (งบประมาณ): ในส่วนนี้จะประกอบไปด้วยการคำนวณค่าตัวแปรที่บอกถึงสถานะการใช้เงินในโปรเจ็คของเรา ณ ปัจจุบัน โดยจะมีตัวแปรที่เราจะคำนวณมี 2 ตัว ประกอบด้วย

9.1 CV - Cost Variance (ความเบี่ยงเบนเชิงการเงิน): เราสามารถคำนวณ Cost Variance หรือ CV ได้จากสูตร

CV = EV - AC

โดย ค่า EV ให้เรานำมาจากช่องที่ 6 ส่วนค่า AC ให้เรานำมาจากช่องที่ 7

การตีความ: ถ้าค่า CV ออกมาเป็นลบแสดงว่าเราใช้เงินมากกว่าที่วางแผนไว้ แต่ถ้าค่า CV ออกมาเป็นบวกแสดงว่าเราใช้เงินน้อยกว่าที่วางแผนไว้

9.2 CPI - Cost Performance Index (ดัชนีสมรรถนะเชิงการเงิน): เราสามารถคำนวณ Cost Performance Index หรือ CPI ได้จากสูตร

CPI = EV / AC

โดย ค่า EV ให้เรานำมาจากช่องที่ 6 ส่วนค่า AC ให้เรานำมาจากช่องที่ 7

การตีความ: ถ้าค่า CPI ออกมาน้อยกว่า 1 แสดงว่าเราใช้เงินมากกว่าที่วางแผนไว้ แต่ถ้าค่า CPI ออกมามากกว่า 1 แสดงว่าเราใช้เงินน้อยกว่าที่วางแผนไว้

10 Projection (การพยากรณ์): ในส่วนสุดท้ายเราจะพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น ณ วันสิ้นสุดโปรเจ็ค โดยเราจะคำนวณค่าตัวแปร 2 ตัว ได้แก่

10.1 EAC - Estimates at Completion: ค่า EAC สามารถคำนวณได้หลายวิธี (ซึ่งแต่ละวิธีจะให้ค่าที่ออกมาไม่เท่ากัน)

  • EAC = BAC / CPI

เหมาะกับสถานการณ์ที่ความก้าวหน้าค่อนข้างไม่ต่างไปจากแผนที่วางไว้มากนัก)

  • EAC = AC + (BAC - EV)/(SPI x CPI)

เหมาะกับสถานการณ์โปรเจ็คไม่ได้เป็นไปตามแผนซักเท่าไหร่ ล่าช้ากว่ากำหนดและใช้เงินมากกว่าแผนที่วางไว้ จึงต้องนำ CPI และ SPI มาคำนวณประกอบด้วย

  • EAC = AC + (BAC - EV)

เหมาะกับสถานการณ์ที่ตอนนี้ไม่ค่อยเป็นไปตามแผน แต่เราคาดว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อะไรเพิ่มเติมให้เราออกนอกแผนแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือคิดว่าส่วนที่เหลืออยู่น่าจะเป็นไปตามแผน

10.2 ETC - Estimates to Completion: ค่า ETC คือจำนวนเงินที่คิดว่าเราจะยังต้องใช้ไปจนกระทั่งจบโปรเจ็ค คำนวณได้จากสูตร

ETC = EAC - AC